ปลาซอสจิ๋ว สะท้านโลกกกกกกกก

Fish-shaped soy sauce
The fish-shaped soy sauce is first time banned from Australia because the effect to the environment
คุณรู้จัก “ซอสโซยุขนาดจิ๋ว” ในรูปแบบแพคเกจรูปปลาจิ๋วหรือเปล่า คุณเคยเห็นและอาจจะเคยใช้มันแหละ แต่มันเป็นเพียงแพคเกจบรรจุซอสโชยุ ที่เราอาจจะมองผ่านในชีวิตประจำวัน และไม่ได้ให้ความสำคัญนักในชีวิตประจำวัน เราเห็นมันอยู่ในชุดซูชิ ซื้อกลับบ้าน เปิดฝา บีบ แล้วก็โยนทิ้ง… ไม่ถึง 3 วินาที หน้าที่ของมันก็ได้สิ้นสุด

เมื่อเรื่องเล็กจิ๋วแต่สะท้อนจักรวาลความสัมพันธ์

คุณรู้จัก “ซอสโซยุขนาดจิ๋ว” ในรูปแบบแพคเกจรูปปลาจิ๋วหรือเปล่า คุณเคยเห็นและอาจจะเคยใช้มันแหละ แต่มันเป็นเพียงแพคเกจบรรจุซอสโชยุ ที่เราอาจจะมองผ่านในชีวิตประจำวัน และไม่ได้ให้ความสำคัญนักในชีวิตประจำวัน เราเห็นมันอยู่ในชุดซูชิ ซื้อกลับบ้าน เปิดฝา บีบ แล้วก็โยนทิ้ง… ไม่ถึง 3 วินาที หน้าที่ของมันก็ได้สิ้นสุด

fish shaped sauce size

พลาสติกบรรจุโชยุรูปปลา / ขวดปลาใส่ซอส หรือที่ญี่ปุ่นเรียก “โชยุไต (shoyu-tai)” ถือกำเนิดที่ญี่ปุ่นในปี 1954 ถูกคิดค้นโดย เทรุโอะ วาตานาเบะ (Teruo Watanabe) ผู้ก่อตั้งบริษัท Asahi Sogyo มันเป็นนวัตกรรมที่มาแทนที่ขวดแก้ว/เซรามิกแบบดั้งเดิมที่อาจจะยากลำบากในการพกพา และมีความเสี่ยงในการแตก นวัตกรรมโชยุไตนี้ทำให้การกินซูชิสะดวกขึ้น พกง่าย บีบง่าย และกลายเป็นสัญลักษณ์ของซูชิแบบทันใจที่ได้รับความนิยมไปทั่วญี่ปุ่นและแพร่หลายไปทั่วโลก เพราะง่ายต่อการ takeaway และสามารถกินซูชิได้ทุกหนทุกแห่ง ความแพร่หลายระดับสากลนี้เองที่ทำให้ของชิ้นเล็ก ถูกผลิตในปริมาณรวมมหาศาล

รายงาน Uber Eats Cravings Report (2024) ใน Seafood Consumers ชี้ว่า อาหารญี่ปุ่น เช่น ซูชิและซาชิมิ ถูกระบุในฐานะ Fast Seafood แบบใหม่ที่สดและดีต่อสุขภาพ และเป็นทางเลือกแทนเมนูประเภทเบอร์เกอร์ที่นิยมทั่วไป ซึ่งเป็นที่นิยมมากในออสเตรเลีย โดยมากกว่าครึ่งของคนออสเตรเลีย (ประมาณ 51.6%) ระบุว่า ซูชิคืออาหารญี่ปุ่นที่ชอบที่สุด ในขณะที่ Wikipedia ระบุว่า อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากในออสเตรเลีย และซูชิก็ถูกเปรียบเทียบว่า ‘ได้รับความนิยมพอ ๆ กับแซนด์วิช’ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เมลเบิร์น ซิดนีย์ หรือบริสเบน นอกจากนี้ รายงานแนวโน้มอาหารของออสเตรเลียพบว่า อาหารญี่ปุ่นเป็นประเภทอาหารที่ถูกค้นหามากที่สุดใน 7 จาก 8 รัฐ/เขต โดยเฉพาะในนิวเซาท์เวลส์และวิกตอเรียที่มีการค้นหาเฉลี่ยสูงถึง 49,500 ครั้งต่อเดือน ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2025 ระบุว่าในออสเตรเลียมีร้านซูชิประมาณ 1,644 แห่ง ในจำนวนทั้งหมดนี้เป็นร้านซูชิแบบ takeaway ประมาณ 821 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยนิวเซาท์เวลส์มีสัดส่วนสูงสุด (212 แห่ง) ตามด้วยควีนส์แลนด์ (161) และวิกตอเรีย (153) ตลาดของ Processed Fish & Seafood (ซึ่งรวมซูชิ) มีมูลค่าประมาณ US$1.03 พันล้าน ในปี 2025 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3.8% ต่อปีจนถึง 2030 โดยเฉลี่ยคนออสเตรเลียบริโภคปลาและอาหารทะเลประมาณ 2.3 กิโลกรัม ต่อคนต่อปี

จากข้อมูลดังกล่าว เราจึงเห็นได้ว่า ความนิยมของอาหารญี่ปุ่นหรือซูชิไม่ใช่เรื่องชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นวัฒนธรรมการกินที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งแบบ dine-in และ takeaway และโชยุไตกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐาน ในการเสิร์ฟซูชิ โดยเฉพาะร้าน takeaway ที่ต้องการความสะดวกและผู้บริโภคคาดหวังว่าต้องมีให้ ทำให้มีความต้องการซอสถั่วเหลืองเล็กเป็นจำนวนมหาศาล และแน่นอนเมื่อรวมกันทั่วประเทศเลยเป็นเหตุผลว่าทำไม “โชยุไต หรือ ปลาน้อยโซยุ” ถูกใช้ต่อเนื่องมากจนกลายเป็นปัญหาขยะกว่าหลายพันล้านชิ้น

แต่สิ่งที่สะดวกต่อเรากลับเป็น “ภาระของธรรมชาติ” ภาชนะจิ๋วเหล่านี้ ด้วยขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และมักปนเปื้อนซอส ทำให้สร้างภาระต่อระบบจัดการขยะอย่างยิ่ง หลุดรอดระบบจัดการขยะได้ง่าย และแทบไม่มีโอกาสถูกรีไซเคิล หรือรีไซเคิลลำบาก เพราะเล็กเกินเครื่องจักรคัดแยก ส่งผลให้หลุดจากหลุมฝังกลบ มักถูกลม/ฝนพัดพาไปท่อระบายน้ำ ทั้งหลุดรอดไปสู่แม่น้ำและทะเล ด้วยความที่มีรูปร่างเสมือนปลา จึงกลายเป็นกับดักอย่างดี เพราะนก ปลา หรือสัตว์น้ำเข้าใจผิดว่าคือ อาหารอันน่าจะโอชะของมัน กลายเป็นการกลืนกินความเสี่ยง และแน่นอนปลากินเข้าไป กลายเป็นไมโครพลาสติกที่สะสมให้ร่างกาย สุดท้ายมนุษย์ก็กินปลาเหล่านั้นอีกที

รัฐเซาท์ออสเตรเลีย (South Australia) จึงประกาศ แบนภาชนะบรรจุซอสถั่วเหลืองพลาสติกขนาดเล็กที่มีฝาปิด/จุก (ครอบคลุมทรงปลาและทรงเหลี่ยม รวมถึงภาชนะจิ๋วทรงกิมมิกอื่นๆ ในเกณฑ์ขนาดเดียวกัน) และมีปริมาตรต่ำกว่า 30 มิลลิลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2025 ซึ่งถือเป็นประเทศแรกในโลกที่คำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และมีมาตรการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน และเด็ดขาด ซึ่งการแบนครั้งนี้ไม่ใช่อยู่ดีดีก็มีการดำเนินการ แต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Replace the Waste ที่เป็นกรอบกฎหมายลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย และก็ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์นี้เท่านั้น แต่มีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรายการการแบนด้วย ไม่ว่าจะห้ามเรื่องถุงก๊อบแก๊บ (ตั้งแต่ปี 2009) และทยอยห้ามหลายรายการตั้งแต่ 2021 – 2024 อาทิ หลอด/ช้อนส้อม/ไม้คนกาแฟพลาสติกสำเร็จรูป กล่องโฟม ภาชนะจานชามพลาสติกใช้ครั้งเดียว ก้านสำลีหูพลาสติก พิซซ่า พลาสติก หลอดติดกล่องน้ำผลไม้/ไม้จับลูกโป่งบางชนิด และถ้วยกาแฟพร้อมฝาพลาสติกบางประเภท ฯลฯ เพื่อปิดรูรั่วของขยะชิ้นเล็กที่หลุดระบบได้ง่าย เป็นการทยอยอัพเดตรายการที่ต้องห้ามและรายการทางเลือก เพื่อให้ธุรกิจมีเวลาในการปรับตัว

สิ่งที่น่าสนใจคือ พอรัฐเซาท์ออสเตรเลีย สื่อสารเรื่องนี้ออกไป กลายเป็นแรงกระเพื่อมระดับโลก ทั้ง BBC, The Guardian, Independent รวมถึงสื่อในประเทศไทยอีกมากมาย ต่างรายงานข่าวอย่างกว้างขวาง ในประเด็นที่เกี่ยวกับ

  • นวัตกรรมเชิงนโยบาย   – โลกกำลังจับตาว่า ออสเตรเลียจะเป็นตัวอย่างให้ประเทศอื่นๆ ดำเนินนโยบายในเรื่องพลาสติกได้หรือไม่
  • วงกระเพื่อมไปสู่สิ่งอื่น ๆ ในไลฟ์สไตล์ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ ที่เป็นการใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง เช่น หลอดกาแฟ หรือช้อนพลาสติกในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งบรรจุภัณฑ์เรานี้ถูกสร้างในยุคโควิด-19 เพื่อป้องกันความปลอดภัยด้านสุขอนามัย และในยุคที่การบริการขนส่งอาหารเป็นที่นิยม แต่ก็ส่งผลต่อปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น การใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นในการผลิตและการรีไซเคิล และที่สำคัญคือส่งผลต่อการกระจายไปสู่สิ่งแวดล้อมและเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารในที่สุด

หนึ่งนโยบายที่กำหนดขึ้น ในประเทศที่ดูเหมือนห่างไกลจากเรา กลับสั่นสะเทือนโลก และเกิดการตั้งคำถามมากมาย การดำเนินการของรัฐเซาท์ออสเตรเลียนั้น เป็นการตัดตอนต้นทาง (Prevention over Cure) แทนที่จะหวังให้โชยุไตถูกรีไซเคิล ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ รัฐเลือกขจัดทิ้งจากระบบเลย นี่คือนโยบายที่เห็นแก่ทุกฝ่าย เพราะลดภาระทั้งธรรมชาติและระบบการจัดการขยะในขณะที่ไม่เบียดเบียนธรรมชาติ โดยรัฐเซาท์ออสเตรเลียก็ไม่ได้เอาแต่ห้าม แต่มีทางเลือกซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับนวัตกรรม ทางเลือกใหม่ หรือทางเลือกอื่น ๆ ที่ไม่ทำร้ายผู้อื่น หรือทำลายธรรมชาติรอบตัวเรา

แน่นอน ผลกระทบของการแบนย่อมเกิดขึ้น เราต้องปรับเปลี่ยนบางวิถีชีวิตใหม่ ต้องหาทางเลิกใช้และเปลี่ยนผ่านสู่ทางเลือกแบบเติม/ใช้ซ้ำ หรือแบบใช้ครั้งเดียวที่กระทบสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า เช่น ซองซอสแบบซอง ทั้งนี้ ข้อยกเว้นสำคัญคือ “ซองซอสแบบปลอก/ซองบาง” ยังอนุญาตให้ใช้ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

ร้านอาหาร → หันมาใช้ภาชนะรีฟิล ขวดที่สามารถเติมหรือใช้ซ้ำได้ในร้าน เช่น ขวดแก้วเล็ก ๆ หรือซองที่ย่อยสลายได้ ผู้ประกอบการอาจจะเจอภาระต้นทุนที่เพิ่มในการหาบรรจุภัณฑ์ใหม่ แต่เมื่อทุกคนปรับมาใช้ โรงงานที่ผลิตก็จะทำราคาได้ถูกลง เนื่องจากการประหยัดต่อขนาด อีกไม่นานราคาก็จะปรับลง

ผู้บริโภค → ในช่วงแรกก็อาจจะไม่สะดวกสบายนิดหน่อย แต่ถึงที่สุดก็จะเกิดการปรับตัวตามธรรมชาติปกติของมนุษย์ เช่น พกขวดซอสเล็ก ๆ ของตัวเอง (ถ้าชอบอาหารญี่ปุ่น และคาดหวังว่าจะกินทุกมื้อ) เมื่อซื้ออาหาร takeaway คล้ายกับการพกแก้วส่วนตัวสำหรับกาแฟ

ชุมชน → ผลักดันนโยบายส่งเสริมการลดขยะให้เป็นศูนย์ หรือ zero waste และสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วมกัน เช่น ตลาดสีเขียว เป็นต้น

นี่ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนวัสดุ แต่คือการสร้างนิสัยและวัฒนธรรมใหม่ เนื่องจากเรามีส่วนช่วยลดพลาสติกที่อาจไปอยู่ในท้องปลา เราได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม เราส่งต่อโลกที่สะอาดกว่าให้กับคนรุ่นต่อไปและมีความสุขไปกับมัน นี่แหละคือ ความสุขสัมพันธ์ (Symbiotic Happiness) ที่ไม่ได้เกิดจากสิ่งของ แต่เกิดจากการตระหนักว่า ความสุขของเราผูกพันกับความสุขของผู้อื่นและสิ่งต่าง ๆ ที่รายล้อมรอบตัวเรา

ก้าวต่อไป: ออกแบบโลกที่มนุษย์-ธรรมชาติ-ธุรกิจ เดินทางร่วมกัน

ในฐานะที่เราทำงานด้าน Symbiotic Happiness Design หรือ การออกแบบความสุขสัมพันธ์ ซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจากการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์-สังคม-สิ่งแวดล้อม การแบนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของกฎหมายสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่สะท้อนถึงวิธีที่เรามองความสุขในระดับปัจเจกและส่วนร่วม เป็นการเรียนรู้ว่า ความสุข ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ความสะดวกสบายของเรา ผูกโยงกับหลายชีวิตรอบตัวเรา ความสุขที่ดีจึงเป็นการออกแบบโครงสร้าง วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ เป็นความสุขที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ความสุขเราต้องไม่กลายเป็นภาระของผู้อื่น แต่ควรจะเกื้อกูลกัน ซึ่งเป็นหัวใจในการออกแบบของ Symbiotic Happiness

มนุษย์ → ธรรมชาติ: การตระหนักว่าความสุขของตนเชื่อมโยงกับสุขของผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม การลดพลาสติกจิ๋วจึงเป็นการคืนสมดุลให้สิ่งแวดล้อม และเมื่อธรรมชาติปลอดภัยขึ้น เราก็ได้กลับคืนมาซึ่งความสุขของการมีสิ่งแวดล้อมรอบข้างที่สะอาด อาหารปลอดภัย และระบบนิเวศที่ยั่งยืน

ธุรกิจ → ผู้บริโภค: ร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแห่งยอมรับนโยบายนี้ และเริ่มเปลี่ยนไปใช้ซองหรือขวดเติม แม้อาจมีต้นทุนเพิ่ม แต่ควรใช้โอกาสนี้สร้างนวัตกรรมที่ทั้งรักษ์โลก สร้างความสัมพันธ์ใหม่กับลูกค้า และสร้างประสบการณ์ดีๆ เสริมสร้างแบรนด์ DNA ของเราให้แข็งแกร่งขึ้น ลูกค้าไม่ได้เพียงซื้ออาหาร แต่ยังร่วมซื้อคุณค่าของการดูแลสิ่งแวดล้อม

รัฐ  → สังคมโลก:  เซาท์ออสเตรเลียกลายเป็นต้นแบบที่โลกจับตามอง เนื่องจากเป็นนโยบายระดับท้องถิ่นที่จับต้องได้ ในการแก้วิกฤติพลาสติกโลก เหมือนบอกว่า เรากล้าที่จะเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ซึ่งเป็นบทเรียนแก่รัฐและประเทศอื่น ๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเรื่องใหญ่โตเสมอไป เราสามารถสร้างและใช้นโยบายเป็นเครื่องมือเปิดทางให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้ง่ายขึ้น การแบนโชยุไตอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของวิกฤติพลาสติก แต่เป็นประตูบานแรกที่เปิดให้เห็นว่า ความสุขที่แท้จริงต้องสมดุลกับโลกที่เราอยู่ร่วมด้วย หากรัฐอื่น เมืองอื่น หรือแม้แต่ผู้ประกอบการเอกชนในระดับสากลเรียนรู้จากตัวอย่างนี้ โลกอาจค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ใหม่ ที่มนุษย์ ธุรกิจ และธรรมชาติไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นเพื่อนร่วมวงจรความสุขเดียวกัน

ในที่สุดแล้ว การเลิกใช้โชยุไตพลาสติกคือ การเลือกเล็ก ๆ ของสังคม แต่การเลือกเล็กนี้ส่งผลใหญ่ต่อระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตในระยะยาว มันเตือนเราว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่การสะสมความสะดวกส่วนตัว แต่คือการออกแบบความสัมพันธ์ที่ทำให้ทั้งเราและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นหลังหรือสิ่งมีชีวิตในทะเล ได้มีชีวิตที่ดีไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการออกแบบเรื่องเล่าความสุขใหม่ของมนุษยชาติ ที่บอกว่า การดูแลสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว ก็คือการดูแลความสุขร่วมกันของโลกทั้งใบ จึงเป็นการค่อยๆ เปลี่ยนผ่านจากความสุขระยะสั้น (hedonic happiness) ที่ได้จากความสะดวก ไปสู่ ความสุขระยะยาว (eudaimonic happiness) ที่เกิดจากการทำสิ่งที่ถูกต้องและยั่งยืน

Picture of Cloud

Cloud

You May Also Like
Life in the OwlsCity02
อ่านต่อ..

Perpetual Day & Night at the North Pole

อนิเมชั่นที่อธิบายขั่วโลกเหนือ (North Pole) ในช่วงเดือนที่มีแต่กลางวัน (Day) และช่วงเดือนที่มีแต่กลางคืน (Night)
อ่านต่อ..